หยุดผมร่วงด้วยสมุนไพร

ใน 1 วัน โดยปกติผมของคนเราจะร่วง 100-150 เส้นโดยประมาณถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีสุขภาพผมแข็งแรงก็ตาม แต่หากมีการร่วงที่มากจนเกินกว่าปกติ การปล่อยทิ้งไว้จึงไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะอาจทำให้ผมของเราบางลงเรื่อย ๆจนอาจเห็นหนังศีรษะขณะมัดผม หากมีอาการผมร่วงเยอะมากจนเกินไปควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นผลของโรคชนิดใดชนิดหนึ่งที่เกิดกับร่างกายได้ แต่หากไม่มากนักการบำรุงผมด้วยสมุนไพรจากธรรมชาติก็สามารถช่วยลดอาการผมร่วงได้เช่นกัน และยังปลอดภัยไร้สารเคมีอีกด้วย

กระเทียม บางคนอาจจะไม่ชอบกลิ่น และรสชาติของมัน แต่หากนำมาใช้เป็นสมุนไพรบำรุงเส้นผมแล้ว สามารถช่วยลดอาการผมร่วงได้เป็นอย่างดี ด้วยสารกำมะถันของกระเทียมจะไปกระตุ้นให้เส้นผมสร้างคอลลาเจนเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับเส้นผม โดยการนำกระเทียมสดไปคั้นเอาแต่น้ำออก นำน้ำที่ได้ชโลมบนหนังศีรษะให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาดก่อน 1 ครั้ง แล้วสระผมด้วยแชมพู จะรู้สึกได้ทันทีหลังการสระผมว่าผมของเรานุ่มขึ้น และหากทำเป็นประจำแล้วจะทำให้เส้นผมแข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่าย

หัวหอม พืชตระกูลเดียวกันกับกระเทียม มีสารกำมะถันเหมือนกัน แต่ในหัวหอมจะมีน้อยกว่า การหมักผมด้วยหัวหอมจะช่วยกระตุ้นให้รูขุมขนบนหนังศีรษะผลิตเส้นผมที่หลุดร่วงไปให้ขึ้นมาใหม่ได้เร็วขึ้น โดยวิธีการเดียวกันกับกระเทียม นำหัวหอมมาคั้นเอาแต่น้ำ แล้วนำมาชโลมบนหนังศีรษะ นวดเบา ๆไปเรื่อย ๆประมาณ 20-30 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด เพื่อขจัดกลิ่นของหัวหอมออก แล้วสระผมด้วยแชมพู

ขิง เมื่อนำมาหมักเส้นผม น้ำมันจากขิงจะช่วยกระตุ้นให้การไหลเวียนของเลือดบริเวณรากผม และเส้นผม เมื่อการไหลเวียนของเลือดดี เส้นผมที่หลุดร่วงไปก็จะงอกใหม่ได้เร็วขึ้น และด้วยสรรพคุณของขิงยังช่วยรักษาโรคเชื้อราบนหนังศีรษะได้อีกด้วย เพราะมีฤทธิ์คล้ายกับยาแก้อักเสบ ช่วยขจัดเชื้อรา และแบคทีเรียได้ดี

มะกรูด ในปัจจุบันมีการนำมะกรูดมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการบำรุงผมมากมาย อาทิ เช่น แชมพู น้ำมันบำรุงผม ครีมนวดผม เป็นต้น เพราะสรรพคุณของมะกรูดเมื่อนำมาหมักกับเส้นผมจะช่วยให้ผมแห้งกร้าน แตกปลาย ชี้ฟู ดูมีสุขภาพดีขึ้น และยังช่วยลดการเกิดรังแคบนหนังศีรษะได้อีกด้วย โดยการนำมะกรูด 3-4 ลูก ต้มน้ำจนผิวมะกรูดเริ่มอ่อนลง นำมาคั้นเอาแต่น้ำ แล้วหมักศีรษะทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วสระผมด้วยแชมพูตามปกติ ทำแบบนี้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะช่วยทำให้เส้นผมของเราดูมีสุขภาพดี แข็งแรงขึ้น

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  แทงหวยออนไลน์

ประโยชน์ของผลไม้

Blackberry ประโยชน์ดีดีที่คุณควรรู้

           Blackberry ผลไม้ที่นิยมปลูกกันมาทั้งต่างประเทศและในเมืองไทย โดยผลไม้ชนิดนี้มีชื่อเรียกภาษาไทยว่า ไข่ปู หรือไข่กุ้ง เป็นผลไม้ที่ไม่มีมีกลิ่นหอมและรสชาติหวานฉ่ำ คนส่วนใหญ่จึงนิยมนำ Blackberryมาเป็นส่วนผสมในการทำขนมและอาหารคาว รวมถึงนำ Blackberryมาเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการบ่มไวน์ ลักษณะของ Blackberryจะมีผลเป็นสีดำ โดยจะมีลักษณะเหมือนมีเม็ดหลายเม็ดเกาะกลุ่มรวมกันอยู่ นิยมปลูกกันเป็นจำนวนมากที่ประเทศทางฝั่งอเมริกาและทางฝั่งยุโรป

 

โดยประเทศที่ส่งออก Blackberryรายใหญ่ที่สุดคือประเทศแมกซิโก

ในประเทศไทยเองก็มีการปลูกโดยนิยมปลูกกันมากตามพื้นที่ที่เป็นภูเขา ในแถบจังหวัดทางภาคเหนือ  ในผลของ Blackberry จะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเยอะซึ่งจะเหมาะอย่างมากสำหรับคนที่ออกกำลังกายกลางแจ้งที่มีอากาศร้อนจัด เพราะการที่เราอยู่ในอุณหภูมิที่มีอากาศร้อนมากๆร่างกายของคนเราจะผลิตอนุมูลอิสระออกมาเป็นจำนวนมาก

ซึ่งไอ้เจ้าอนุมูลอิสระนี้เองที่เป็นตัวการสำคัญทีทำให้เราผิวเหี่ยวง่าย มีริ้วรอยและแก่เร็วขึ้น ดังนั้นหากเราได้กิน Blackberry เข้าไปก็จะไปช่วยยับยั้งปัญหาเหล่านี้ได้ ซึ่ง Blackberry มีขายตามร้านค้าในห้างสรรพสินค้าทั่วไป หรือบางบ้านก็นิยมปลูกเอาไว้ทานเล่น

ซึ่งใน Blackberryนอกจากช่วยเรื่องการต่อต้านสารอนุมูลอิสระแล้วยังช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน และยังช่วยลดการเป็นโรคต่างต่างได้อีกด้วยไมว่าจะเป็นโรคหัวใจ  โรคเส้นเลือดอุดตันในสมอง ช่วยบำรุงระบบประสาทระบบสมองไม่ให้เป็นโรคอัลไซเมอร์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและช่วยในเรื่องของระบบหมุนเวียนเลือดได้ดี ช่วยขับปัสสาวะและสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งใน Blackberry มีวิตามินต่างต่างมากมายไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และวิตามินเค รวมถึงมีวิตามินรวมตั้งแต่วิตามินบี 1 จนถึงบี 12 มีโปรตีนและธาตุเหล็ก และแคลเซียมสูง และยังมีพลังงานอื่นๆอีกมากมาย

Blackberry เป็นผลไม้ที่ปลูกง่าย

สามารถปลูกได้กับดินทุกชนิดและชอบความร้อนและแสงแดด จึงสามารถปลูกในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี สำหรับการเก็บ Blackberryนั้นมักจะรอให้ผลสุกเต็มที่ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือนและเราสามารถสังเกตได้ว่าหากมีสีแดงเมื่อไหร่ก็สามารถจัดเก็บได้ทันทีแต่ให้ระมัดระวังในการเก็บเพราะจะทำให้ผล Blackberryเสียหายได้ง่าย

และเมื่อเก็บมาแล้วก็เอาแช่ตู้เย็นโดยจัดเก็บไว้ในกล่องที่มีฝาปิดมิดชิด เพื่อจะได้เก็บไว้กินได้นานนาน  เมื่อเราได้รู้ถึงประโยชน์ของ Blackberry ก็อย่าลืมหามาทานกันนะคะเพราะหาซื้อได้ง่ายและราคาไม่แพง

 

 

ขอบคุณเรื่องราวดีๆที่ให้นำมาเสนอ โดยชุดตรวจ hiv

ใครบ้างที่จะได้รับผลกระทบของภาวะฝุ่นละออง?

ปัจจุบันฝุ่นละอองพิษที่เพิ่มสูงมากขึ้นในจังหวัดกรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้คำศัพท์ที่พวกเราไม่คุ้นเคยกันมีชื่อเสียงและสนใจขึ้นมา ตัวอย่างเช่น มลพิษที่เกิดจากฝุ่นทางอากาศ อนุภาค ละอองฝุ่น หน้ากาก N95 และก็ดรรชนีคุณภาพอากาศ (particle pollution, particulate matter, N95 และ AQI) รวมทั้งทำให้ผู้คนตื่นตัวเรื่องอันตรายจากมลภาวะกลางอากาศมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ต่างพากันเป็นห่วงถึงผลพวงของมลภาวะดังกล่าวที่จะมีผลต่อร่างกายของมนุษย์
ใครบ้างที่จะได้รับผลกระทบของภาวะฝุ่นละออง?

– เด็กอยู่ในกลุ่มที่มีภาวะเสี่ยงสูงด้วยเหตุหลายประการ :โดยมากแล้วเด็กมักใช้เวลาอยู่ที่โล่งแจ้งเพื่อเล่นกีฬา ทำกิจกรรมนอกบ้าน ยิ่งอายุน้อยเท่าไร การเสี่ยงยิ่งมากเพิ่มขึ้น ปอดและระบบภูมิต้านทานของเด็กยังอยู่ในระยะที่กำลังเจริญพัฒนาแต่ไม่เท่าในผู้ใหญ่ การพบเจอกับมลภาวะกลางอากาศจะจำกัดการเติบโตของปอดในเด็ก นอกจากนี้ เด็กๆ ยังมีอัตราที่จะเป็นโรคหอบหืดรวมทั้งโรคระบบทางเดินหายใจที่ร้ายแรงมากกว่า ซึ่งโรคกลุ่มนี้กำเริบขึ้นได้ง่ายอย่างไม่ยากเย็นเมื่อระดับมลภาวะสูงขึ้น

– หญิงท้อง หญิงมีครรภ์ การพบเจอกับมลภาวะกลางอากาศจากฝุ่นระหว่างมีครรภ์มีความเชื่อมโยงกันกับการคลอดก่อนที่จะครบกำหนด น้ำหนักตัวทารกแรกคลอดต่ำ ความเสี่ยงที่จะมีการแท้งลูกรวมทั้งอัตราการตายของเด็กทารกยิ่งมากขึ้น

– คนชรา จำเป็นต้องพบเจอกับการเสี่ยงมากขึ้น เมื่อพบกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับมลภาวะ เพราะระบบภูมิต้านทานของคนสูงอายุจะอ่อนแอลง และร่างกายมีการตอบสนองลดลง ภูมิต้านทานที่จะต่อสู้กับมลภาวะกลางอากาศก็ลดลง นอกเหนือจากนี้ คนแก่ยังมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะมีลักษณะเกี่ยวกับโรคหัวใจหรือระบบทางเดินหายใจที่ยังมิได้รับการวิเคราะห์ซึ่งสามารถกำเริบขึ้นได้เพราะมลภาวะกลางอากาศ

– คนที่เป็นโรคปอดหรือโรคหัวใจ ได้แก่ โรคเส้นเลือดหัวใจ สภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหอบหืด โรคถุงลมในปอดโป่งพอง โรคปอดอุดกันเรื้อรัง มีการเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเหตุว่าอนุภาคฝุ่นละอองสามารถทำให้สถานการณ์โรคที่มีอยู่กำเริบขึ้นได้

คุณสามารถลดความอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับคุณได้ โดยการเฝ้าสำรวจระดับมลภาวะแบบเรียลไทม์และก็การคาดการณ์ดรรชนีคุณภาพอากาศ ซึ่งมีพร้อมให้เราสามารถติดตามแบบออนไลน์ได้ผ่านทาสมาร์ทโฟนแอพ ที่มีชื่อว่า Asia Air Quality (Android), Global Air Quality (Android) และ Air Quality Index (iOS)

วิธีการใช้น้ำตาเทียมที่ถูกต้อง เพื่อสุขภาพที่ดีของดวงตา

วิธีการใช้น้ำตาเทียมที่ถูกต้อง
ในทางที่ดีที่สุดของการใช้น้ำตาเทียม คือ ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อรับฟังคำแนะนำในการใช้งาน และอ่านข้อควรระวังในการใช้ แต่อย่างไรก็ตามการใช้งานน้ำตาเทียมก็มีวิธีปฏิบัติที่ปลอดภัยอยู่ ดังต่อไปนี้
1. ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนหยิบน้ำตาเทียมมาใช้ เพื่อป้องกันเชื้อโรคไปสู่ดวงตา และปะปนในบรรจุภัณฑ์น้ำตาเทียม

2. เงยหน้าให้อยู่ในตำแหน่งที่ถนัด จากนั้นดึงเปลือกลงเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับหยอดน้ำตาเทียม

3. หากเป็นชนิดขวด หรือชนิดหลอดยาขี้ผึ้งแบบป้าย ควรให้ปลายหลอดยาป้าย หรือปลายขวดน้ำตาเทียมห่างจากดวงตาพอประมาณ

4. ค่อย ๆ หยดลงไป โดยทั่วไปใช้ประมาณ 1 หยด ระหว่างที่หยดให้เหลือบตามองบน

5. หลังจากหยดน้ำตาเทียมให้หลับตาไว้ประมาณ 1-2 นาที ไม่หรี่ตาหรือกระพริบตาเพื่อไม่ให้น้ำตาเทียมไหลออกจากตาเร็วเกินไป

6. เช็ดน้ำตาเทียมส่วนที่ไหลออกด้วยสำลีหรือผ้าสะอาด อย่าใช้มือขยี้ดวงตา เพราะจะทำให้ตาอักเสบและอาจกระทบกระเทือน

7. ควรระมัดระวังไม่ให้ปลายหลอดน้ำตาเทียมสัมผัสกับดวงตา ผิวหน้า หรือส่วนใดของร่างกาย เพราะอาจทำให้ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียทำให้เกิดการติดเชื้อได้

ในปัจจุบันมีแบรนด์ผลิตน้ำตาเทียมออกมาวางจำหน่ายทั้งตาท้องตลาด หรือห้างมากมาย ให้เลือกใช้เลือกซื้อกัน ซึ่งหากผู้ใช้เคยมีประวัติอาการแพ้น้ำตาเทียม มีความผิดปกติ เช่น น้ำตาไหล ตาแดง คันตา ตามัว หรือเคืองตา ปวดตา ควรหลีกเลี่ยง หรือหยุดใช้ทันทีและรีบพบจักษุแพทย์

น้ำตาเทียมแบบไหนจึงเหมาะสมกับผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์
สำหรับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ แนะควรใช้
– ชนิดใช้ได้ 1 วัน แบบไม่มีสารกันเสียที่เป็นกระเปราะเล็ก
หากมีการใช้ยาหยอดตาอื่น ๆ แล้วจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียม ควรเว้นให้ห่างกันประมาณ 5-10 นาที เพื่อประสิทธิภาพของยา
สำคัญที่สุดคือ อะไรก็ตามที่หมดอายุแล้วไม่ควรใช้ต่อ ควรทิ้งทันที นำตาเทียมก็เช่นกัน การเก็บรักษาน้ำตาเทียมควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง ไม่อยู่ในที่แสงแดดจัด และไม่จำเป็นต้องแช่ตู้เย็น

ออกกำลังกายแค่ไหนถึงจะดีต่อร่างกาย

ออกกำลังกายแค่ไหนถึงจะดีต่อร่างกาย
จริงๆ แล้วการออกกำลังกาย คือ การสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรง ป้องกันหรือทำให้ห่างไกลจากโรค ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเลือกออกกำลังกายแบบไหน ออกมากออกน้อย สิ่งที่ได้ก็คือสุขภาพของคุณเช่นกัน ทุกคนนั้นมีพื้นฐานของร่างกายที่แตกต่างกัน ทำให้การบอกให้ชัดเจนหรือจัดประเภทการออกกำลังกายให้เหมาะสมและครอบคลุมสำหรับทุกคนนั้นทำได้ยาก ทุกคนมีความเหมาะสมต่อวิธีออกกำลังกายและความหนักเบาที่ต่างกัน ดังนั้น เราควรเลือกออกแบบที่เหมาะสมกับเรา และสะดวกสบายต่อเราด้วยเช่นกัน เราไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงเหมือนคนอื่น ๆ เพราะคนอื่นๆ ไม่ได้มีร่างกายเหมือนกับคนนั้นที่คุณพูดถึง เช่น หากคุณเป็นคนที่กำลังเริ่มออกกำลังกาย ซึ่งยังไม่เคยออกกำลังกายเป็นประจำมาก่อน การวิ่งเพียง 1-2 นาทีก็อาจทำให้คุณปวดขาไปทั้งวันได้ การเลือกวิธีออกกำลังกายที่เราชอบจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมีส่วนช่วยทำให้เราออกกำลังกายได้นานขึ้น มีความสุขไปกับการออกกำลังกาย จากนั้นคุณจึงค่อยๆ ลองเพิ่มความแอดวานซ์ให้กับการออกกำลังกายทีละนิด ในระดับที่เราพอทำได้ ทั้งนี้ระดับเบาที่สุด เช่น วิ่งบนลู่วิ่งในความเร็วระดับ 4 ที่ 3 นาที จากนั้นหากทำได้โดยไม่เหนื่อยเกินไป ก็ค่อย ๆ เพิ่มระดับความเร็ว หรือเพิ่มความยาวนานในการวิ่งมากขึ้นทีละนิด

รวมถึงการออกกำลังกายแบบยกน้ำหนัก ควรค่อย ๆ เพิ่มน้ำหนัก รวมถึงจำนวนครั้งในการยกอย่างช้า ๆ เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บอีกด้วย

ดังนั้น การออกกำลังกาย ไม่จำเป็นต้องทำทุกวัน แต่ควรเลือกทำกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายได้ใช้แรงจนรู้สึกเมื่อย หรือเหนื่อยหอบเบา ๆ ทุกวัน วันละเล็กละน้อย ก็เหมือนช่วยให้ร่างกายได้ออกกำลังกายเบา ๆ ทุกวันโดยไม่ต้องเข้าฟิตเนส แต่กระนั้นการออกกำลังกายอย่างเต็มรูปแบบก็ยังสำคัญอยู่ ควร “ตั้งใจ” ออกกำลังกายอย่างน้อยครั้งละ 30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์ จะช่วยให้มีร่างกายที่แข็งแรง และช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดีอีกด้วย

เราควรรับประทานผัก-ผลไม้เท่าไหร่ จึงจะพอดีต่อร่างกาย

อีกหนึ่งวิธีในการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ คือ การรับประทานผัก-ผลไม้ให้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ ซึ่งอาจคำนวณคร่าวๆ ได้เป็น 400 กรัม ต่อวัน (รวม 3 มื้อ)
แน่นอนว่าการกินผักผลไม้วันละ 3 มื้อให้ได้ 400 กรัมนั้นอาจจะดูยากไป ยิ่งสำหรับมือใหม่หัดกินผักด้วยแล้วนั้น นับว่ายากมากในการฝืนตัวเองให้กินผักแต่ละคำ ซึ่งทาง “โครงการกินผักผลไม้ดี 400 กรัม” ดังนั้น ในวันนี้เราจึงมีคำแนะนำหรือเคล็ดลับดีๆ สำหรับผู้เริ่มต้นดูแลสุขภาพโดยการทานผัก-ผลไม้ ให้พอดีกับที่ร่างกายต้องการ จะช้าอยู่ทำไม ไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ

กิน “ผัก-ผลไม้” อย่างไรให้ได้ปริมาณที่พอดีกับความต้องการของร่างกาย

  1. พกผลไม้วันละ 1-2 ผล เช่น กล้วย ส้ม แอปเปิ้ล ชมพู่ ฝรั่ง แทนคุกกี้หรือขนมกรุบกรอบ หากทำอย่างสม่ำเสมอจะได้ปริมาณอาหารในกลุ่มนี้ครั้งละ 100 – 150 กรัม ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เหมาะสม (ผัก 3 ส่วน ผลไม้ 2 ส่วน)
  2. มีผลไม้หรือกล่องผักสลัดติดตู้เย็น ติดบ้าน หรือที่ทำงาน จะช่วยให้เรากินผักผลไม้ได้มากขึ้น
  3. ลองทำกับข้าวกินเองสัปดาห์ละ 1 วัน เลือกผักที่ชอบ หรือทดลองผักใหม่ๆ ล้างเอง ปรุงเอง นอกจากได้ความมั่นใจว่าอาหารปลอดภัยแล้ว ยังเกิดความภูมิใจในฝีมือตัวเองด้วย
  4. เตรียมอาหารกลางวันไปกินที่ทำงาน ลองทำอาหารง่ายๆ ที่เตรียมได้ตั้งแต่ตอนกลางคืน เช่น แซนด์วิช สลัด ข้าวผัด หรือข้าวคลุกน้ำพริกง่ายๆ
  5. เตรียมผักสดมาเป็นผักเคียงอาหารจานหลัก หรือลวกผักพกมาเติมในก๋วยเตี๋ยว วิธีนี้สามารถเพิ่มปริมาณผักในแต่ละมื้อได้ตามต้องการ
  6. ทำน้ำผักผลไม้ปั่น โดยผสมน้ำผลไม้เล็กน้อยเพื่อช่วยลดกลิ่นผัก และเพิ่มรสอร่อยมากขึ้น แต่ปั่นแล้วต้องดื่มทันที เพื่อไม่ให้สูญเสียคุณค่าของเอนไซม์

การกินผัก-ผลไม้ให้ได้ตามปริมาณที่ต้องการจริงๆ แล้ว ไม่ได้เป็นเรื่องยากอย่างที่คิด เพราะการทำอะไรซ้ำๆ ถึง 21 วัน หรือที่เรียกว่า ทฤษฎี 21 วัน จะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น คือ กากระทำนั้นจะก่อเกิดจนเป็นนิสัย ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารของตัวคุณเองดูนะคะ สุขภาพดีไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ไม่มีทางลัด ไม่มีแม้แต่ข้ออ้าง ไม่มีใครสามารถทำแทนได้ มีแค่ตัวคุณเองเท่านั้นที่จะสร้างสุขภาพที่ดีให้แก่ตัวเองได้ และโรงพยาบาลก็จะไม่ถูกอัดแน่นไปด้วยผู้ป่วยอย่างเช่นทุกวันนี้

โรคหลอดเลือดสมอง อาการแบบไหนที่ว่าเสี่ยง

โรคหลอดเลือดสมอง หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ Stroke เป็นอาการผิดปกติทางหลอดเลือดสมองที่อาจเกิดอาการได้อย่างกะทันหัน จนอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ภายในไม่กี่นาที ดังนั้นหากสังเกตอาการที่เป็นสัญญาณเตือนภัยตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะช่วยให้เรารู้ตัวเร็วว่าเรามีความเสี่ยงต่อโรคนี้ และทำการรักษาก่อนเกิดอาการได้ทันท่วงที

ทำไมโรคหลอดเลือดสมองถึงอันตราย ?
อันตรายจากโรคหลอดเลือดสมอง ที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ ไม่ได้มาจากอาการของโรคโดยตรง แต่เป็นอันตรายเมื่อเกิดอาการในช่วงเวลาที่คาดไม่ถึง เช่น ในระหว่างขับรถ เดินบนบันได อยู่ใกล้ที่สูง อาจทำให้พลาดเกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิตได้

“ปวดหัว” สัญญาณอันตราย “หลอดเลือดสมอง”
แม้ว่าจะเป็นโรคที่สามารถมีอาการเกิดขึ้นได้โดยไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้า แต่มีอาการเบื้องต้นที่เป็นสัญญาณอันตรายของโรคให้เราตระหนักถึงได้อยู่หลายอย่างด้วยกัน

อาการที่เกิดขึ้นเป็นอาการแรกๆ คือ อาการปวดหัว หากคุณมีอาการปวดศีรษะรุนแรงแบบฉับพลัน บวกกับอาการพูดไม่ชัด มีอาการมึนงง สับสน แขนขาชาหรืออ่อนแรงฉับพลัน หรือหมดความรู้สึกทำให้ทรงตัวลำบาก นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง

ในกรณีที่เราพบผู้ป่วยที่ต้องสงสัยว่าอาจมีอาการของโรคหลอดเลือดสมองกะทันหัน สามารถทดสอบได้ง่ายๆ ด้วยวิธีเหล่านี้

หากมีอาการหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว ให้สังเกตว่าใบหน้ามีการขยับได้เหมือนกันทั้งด้านซ้ายหรือขวา

ให้ผู้ป่วยพูดออกเสียง หรือพูดตามคำที่ผู้ตรวจพูดแล้วสังเกตว่าผู้ป่วยสามารถออกเสียงได้ชัดเจนหรือไม่

ให้ผู้ป่วยหลับตาแล้วยกแขนที่ศอกทั้งสองข้างเหยียดตึง ชูสูงขึ้น แล้วสังเกตว่ามีการอ่อนแรงของแขนข้างใดข้างหนึ่งหรือไม่

หากมีอาการใดอาการหนึ่งที่มีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง ควรรีบพบไปพบแพทย์ทันทีโดยไม่ต้องรอให้เกิดอาการอื่น ๆ อีก เพราะหากเกิดอาการทรงตัวไม่ได้ หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว ควบคุมร่างกายไม่ได้ จะมีเวลาเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้นที่จะยื้อชีวิตผู้ป่วยได้

เลือกกินอย่างฉลาดอาหารเช้าสำหรับคนทำงาน

รักสุขภาพ รักสวยรักงาม นั้นเป็นเรื่องที่หลายๆคนก็คิดกันอยู่เสมอ แต่เมื่อคนเราต้องเดินทางออกไปทำงานนอกบ้าน ก็จะต้องเจอกับเมนูอาหารร้อยแปดพันอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และดูเหมือนตัวเลือกจะเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ ลองมาดูวิธีเอาตัวรอดในการเลือกเมนูอาหารของคนวัยทำงานในตอนเช้าๆกันดีกว่าค่ะ

โยเกิร์ตไขมันต่ำรสธรรมชาติ กินคู่กับกล้วย
เริ่มต้นวันใหม่ด้วยแคลอรี่ปานกลางกับโยเกิร์ตที่ช่วยการทำงานของทางเดินอาหาร ทำให้การย่อยระหว่างวันเป็นไปอย่างาบรื่น ไม่อึดอัดท้อง แถมหน้าท้องยังคงแบนราบ

ขนมปังโฮลวีททาน้ำผึ้งธรรมชาติ
ทุกเช้าที่เร่งรีบทำได้ไม่ยาก เพียงเตรียมขนมปังโฮลวีทชนิดกากใยอาหารมากกว่าขนมปังทั่วไป กินกับน้ำผึ้งจะได้คล่องคอขึ้น แต่ต้องไม่ใส่มากเกินไปนะคะ

ข้าวหน้าไก่
ข้าวมันไก่ต่อจานนี้ ถือว่าเป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างความอร่อยและการควบคุมแคลอรี่และไขมันส่วนเกิน เลือกกินเนื้อไก่ล้วนไม่ติดมันและไม่ติดหนัง ราดน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวตามต้องการ แค่นี้คุณก็จะได้อร่อยใกล้เคียงเมนูเดิมโดยไม่ต้องเซ็งกับไขมันส่วนเกินอีก

เกาเหลาแห้งลูกชิ้นเนื้อสด
แม้เข้าร้านก๋วยเตี๋ยวคุณก็สามารถควบคุมแคลอรี่ได้ เพียงสั่งเกาเหลา จะให้ดีอย่าใส่น้ำมันกระเทียมเจียว และน้ำซุปในก๋วยเตี๋ยว เดี๋ยวนี้มีน้ำตาลแฝงมาด้วยเต็มสตรีม หากเป็นไปได้ก็ควรเลือกเกาเหลาแห้งจะดีกว่าค่ะ

ข้าวผัดน้ำพริกปลาทู
อาหารจานโปรดเคล็ดลับความงามของคนไทยตัวจริง เพราะนอกจากจะอุดมไปด้วยผักต้มและผักสดที่ให้คุณค่ามากมาย กินร่วมกับปลาทูที่ให้โปรตีน และน้ำพริกเพิ่มรสอร่อยแต่ไม่หนักแคลอรี่เลย ผลก็คือจานเด็ดที่อร่อยสุดๆ และไม่เสี่ยงกับไขมันสะสม

จานนี้..ที่ต้องหลีกเลี่ยง

โจ๊กหมูสับใส่ไข
หลีกเลี่ยงชามโปรดนี้ดีกว่า เพราะจ็กนั้นมีทั้งข้าวบดและน้ำแป้ง แคลอรี่มากมาย กินแล้วแคลอรี่เกินกันแต่เช้า ไม่พอยังเร่งให้หิวเร็วขึ้นในช่วงเที่ยงและบ่ายอีกต่างหาก

ปาท่องโก๋จิ้มนมข้นหวาน
เช้าๆ แบบเร่งรีบแต่หวานมันอย่างนี้คงไม่เหมาะเท่าไหร่นัก จัดเป็นจานที่ควรหลีกเลี่ยงช่วงควบคุมน้ำหนักเลยทีเดียว

ข้าวผัดหมูใส่ไข่
อาหารจานโปรดของใครหลายๆ คนที่สั่งได้ทุกที่ทุกแห่งในเมืองไทย ไม่ใช่คำตอบที่ดีสำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนักอยู่แน่นอน เพราะข้าวผัดนั้นเป็นเมนูที่ให้ทั้งคาร์โบไฮเดรตจากแป้งและน้ำมันที่ใช้ผัด อีกทั้งไข่มาพร้อมแคลอรี่เกินแบบจัดเต็มเลยทีเดียว

เส้นเล็กต้มยำ
ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ เส้นเหนียวหอมกับน้ำซุปจี๊ดจ๊าด ยิ่งโรยหมูสับกับถั่วเข้าไปอีก แคลอรี่กระฉุดเลยค่ะ!

ข้าวราดหมูผัดพริกแกง
อาหารที่คุณควรหลีกเลี่ยงไปไกลๆ ก็คือหมูผัดพริกแกง ที่อถดมไปด้วยน้ำมัน กะทิ ทำให้กิล่นหอมมันมากยิ่งขึ้น พริกแกงออกรสแต่ก็หนักแคลอรี่ตามไปด้วย ราดกับข้าวสวยร้อนๆยิ่งอร่อย เผลอๆได้ไขมันเกินไปมากมาย

เกิดเป็นคนในยุคนี้ ก็ต้องสวยหล่อในทุกที่ทุกสถานการณ์ บ่อยครั้งที่คุณต้องออกเดินทางไปทำงานหรือท่องเที่ยว ทำให้คุณหลีกเลี่ยงร้านอาหารจานด่วนไม่ได้ แต่เดินเชิดหน้าเข้าร้านและหันไปมองเมนูที่ทำร้ายร่างกายน้อยที่สุด เท่านี้ร่างกายและรูปร่างของคุณก็จะดูดีได้แล้วค่ะ

แค่เดินถูกวิธี ก็สามารถเผาผลาญได้

“อ้วนขึ้นหรือเปล่าจ๊ะ?” คำทักทายนี้ช่างสะเทือนตับไตไส้พุงหนุ่มสาวหลายคนยิ่งนัก อยากจะบอกว่า #ไม่น่ารักเลย ทักกันแบบนี้ อยากตะโกนกู่ร้องให้โลกรู้ว่า ‪#‎อย่าหาว่าพี่สอนเลยนะ‬ อ้วนไม่ใช่คำทักทายย่ะ พอกลับบ้านมาส่องกระจกเห็นแขนขาล่ำสัน พร้อมพุงกะทิน้อย ๆ เซลลูไลท์นิด ๆ ก็ชูสองนิ้วปฏิญาณตนกันทันทีว่า “ฉันจะออกกำลังกายฟิตหุ่น คอยดูนะพวกเธอ ฉันจะผอม” ถ้าลองนับก็ไม่รู้ว่ารอบที่เท่าไรกันแล้วที่พูดแบบนั้น สุดท้ายด้วยหน้าที่การงานเวลาที่จำกัด กลับบ้านมาอย่าว่าแต่จะออกกำลังกายแค่อาบน้ำยังขี้เกียจเลย กลายเป็น “พรุ่งนี้ค่อยลด” วนเวียนตลอด แล้วเมื่อไหร่ฉันจะผอมหุ่นดีมีซิกแพคกับเขาบ้างเนี่ย?

อย่าเพิ่งใจเสียไปค่ะ เราเข้าใจว่าด้วยภาระหน้าที่ของแต่ละคนทำให้ไม่มีเวลาไปออกกำลังกายได้อย่างใจคิด วันนี้เราเลยมีการเบิร์นแคลอรี่ที่ได้ผลดีไม่ต้องใช้เวลามาก แต่เป็นสิ่งที่เราทำในชีวิตประจำวันอยู่แล้วมาแนะนำ นั่นก็คือ “การเดิน” นั่นเอง

 

รู้หรือเปล่าคะการเดินเพียงวันละ 30 นาที ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ประมาณ 120-170 แคลอรี่เชียวนะ แต่ถ้าจะบอกลาแคลอรี่ไม่ใช่ว่าเราจะเดินเฉย ๆ นะ แต่ต้องเดินให้ถูกวิธีด้วยถึงจะได้ผล ไปดูการเดินที่ถูกวิธี บอกลาแคลอรี่กันแบบไม่ยุ่งยากกันเลย

เดินเร็ว

  • การเดินช้า ๆ หรือเดินทอดน่องไม่สามารถช่วยเบิร์นแคลอรี่ได้มากนัก การเดินที่ได้ผลคือ “ต้องเดินแล้วเหนื่อย” เพราะฉะนั้นเวลาเดินควรเดินเร็ว ๆ ก้าวเท้าถี่ ๆ จะช่วยเผาผลาญแคลอรี่จากกล้ามเนื้อขา และสะโพกได้ นอกจากนี้การเดินเร็ว ๆ ยังเป็นการกระตุ้นการทำงานของร่างกายโดยเฉพาะระบบหัวใจและหลอดเลือดให้ทำงานเพิ่มขึ้น เป็นการฝึกให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย

แกว่งแขนไปมา

  • บริเวณใต้รักแร้ของเรามีต่อมน้ำเหลืองอยู่ ดังนั้นการแกว่งแขนจะช่วยให้ต่อมน้ำเหลืองมีการไหลเวียนดีขึ้น ทำให้ขับสารพิษและของเสียออกจากร่างกาย วิธีแกว่งแขนควรแกว่งไปหน้าหลังให้สุดแกว่งมาด้านหน้าให้ผ่อน โดยแกว่งสลับกับขาที่ก้าวออกไปข้างหน้า หากทำถูกวิธีจะช่วยทำให้ลดการสะสมของไขมันที่ใต้ผิวหนังและช่องท้อง แถมการแกว่งแขนไปมายังช่วยบริหารบริเวณหัวไหล่ ทำให้คุณคลายปวดไหล่ปวดบ่าจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นาน ๆ อีกด้วยนะคะ

เดินสลับวิ่ง

  • บางคนที่สุขภาพแข็งแรงเดินอย่างเดียวอาจจะรู้สึกเหนื่อยไม่พอ การที่ไม่รู้สึกเหนื่อยก็แสดงว่าไม่ได้ผลนะคะ ดังนั้น เราอาจจะเกินสลับวิ่ง เพื่อช่วยเพิ่มการทำงานของหัวใจ เช่น เดิน 40 ก้าว วิ่ง 40 ก้าว แล้วค่อย ๆ ลดจำนวนการเดินเพิ่มจำนวนการวิ่งไปเรื่อย ๆ สำหรับข้อนี้แนะนำให้ทำตอนเย็นดีกว่าตอนเช้า ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะเหม็นเหงื่อตัวเองไปทั้งวันแน่ ๆ

เดินขึ้นบันไดแทนลิฟต์

  • เชื่อไหมว่า การขึ้นบันไดประมาณ 15 นาที จะมีการเผาผลาญพลังงานถึง 150 แคลอรี่ต่อครั้งเลยทีเดียว การขึ้นบันไดเป็นการออกกำลังแบบแอโรบิคช่วยทำให้หัวใจแข็งแรง เสริมสร้างกล้ามเนื้อต้นขา น่องและก้นจะแข็งแรง (แถมกระชับด้วยนะ) รู้แบบนี้แล้ว ถ้าต้องขึ้นไปชั้นอื่นที่ไม่ไกลนัก ก็เปลี่ยนมาเดินขึ้นบันไดให้ติดเป็นนิสัยกันดีกว่าค่ะ ได้ทั้งเบิร์นไขมันได้ทั้งประหยัดพลังงานดีจะตาย

ค่อย ๆ หยุดเมื่อใกล้ถึงที่หมาย

  • เนื่องจากเราเดินมาเร็ว ๆ จะให้มาหยุดปุ๊บปั๊บ อาจจะทำให้ระบบในร่างกายหยุดทำงานกะทันหันเกินไป กล้ามเนื้อก็อาจจะบาดเจ็บได้ ดังนั้น ก่อนหยุดเดิน ควรมีระยะผ่อนคลาย คือ ค่อย ๆ เดินช้าลงเมื่อใกล้ถึงที่หมาย หรืออาจะใช้การยืดเส้นยืดสายเบา ๆ เหมือนกับการคูลดาวน์หลังออกกำลังกาย เพื่อให้ระบบต่าง ๆในร่างกายค่อย ๆ ปรับตัวลดการทำงานลงสู่สภาวะปกติ การค่อย ๆ หยุดเดินมีความสำคัญมากโดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด

เห็นไหมคะ ไม่ยากเลยที่จะเผาเจ้าไขมันตัวดี แค่ขยับก็เท่ากับออกกำลังกายแล้ว เพียงแต่เราต้องเพิ่มสเต็ปขยับให้ถูกวิธีนิดหนึ่งถึงจะได้ผล ซึ่งข้อที่ควรจำไว้ให้มั่นเลย คือ “ต้องเดินให้เหนื่อยถึงจะได้ผล” และต้องเดินเป็นประจำอย่าได้ขี้เกียจเป็นอันขาด ท่องไว้ค่ะ ฉันจะผอม ๆ ถ้าระยะทางใกล้ ๆ เราควรหันมาพึ่งบริการสองขาของเราแทนพี่วินมอเตอร์ไซค์ เดินไปชมวิวไปเพลินจะตาย ที่นี้ล่ะคำทักทายของคนอื่นเวลาเจอคุณจะต้องเปลี่ยนจาก “อ้วนขึ้นหรือเปล่าจ๊ะ?” เป็น “ผอมลงหรือเปล่า ไปทำอะไรมา?” ส่วนใครที่อยากรู้ทิปง่าย ๆ สร้างสุขภาพดี ๆ อ่านบทความนี้ แล้วโบกมือลาแคลอรี่ได้เลยจ้า

การดูแลสุขภาพให้ดีในแต่ละวัน ต้องประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

 

   

                  การดูแลสุขภาพถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับมนุษย์ทุกคน เพราะสุขภาพของคนเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คนเรานั้นมีอายุยืนปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายได้ ในปัจจุบันสังคมในประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากในเรื่องของการใช้แรงงาน หันเปลี่ยนมาเป็นการทำงานที่นั่งโต๊ะทำงานเป็นจำนวนมากอาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายของคุณโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่แค่เพียงการทำงานเรื่องเดียวยังมีเรื่องของการใช้ชีวิตในประจำวันแบบเร่งรีบอาจส่งผลให้เกิดความเครียดได้ แล้วยิ่งในปัจจุบันการทำงานก็เริ่มเยอะมากขึ้นจึงไม่มีเวลาที่จะดูแลสุขภาพ ไม่มีเวลาออกกำลังกาย เท่าที่ควร การออกกำลังกายเป็นยารักษาโรคอีกรูปแบบหนึ่งที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณนั้นแข็งแรงได้ รวมไปถึงเรื่องการรับประทานอาหารด้วยในตอนนี้ชีวิตประจำวันของคนทำงานบางส่วนก็ยังทานอาหารที่ไม่มีคุณภาพอย่างเช่น อาหารสำเร็จรูปทั้งหลายที่มี โปรตีน หรือ มีวิตามินน้อยกว่าการรับประทานอาหารทั่วไป อีกทั้งยังมีเรื่องของการไม่ดูแลสุขภาพของตนเองอีกด้วย

วันนี้ผมจะมาแนะนำการรับประทานอาหารเพื่อดูแลสุขภาพให้ดีก็คือ อย่างแรกเลยทุกคนควรกินอาหารในแต่ละมื้อให้ครบ 5 หมู่ และควรควบคุมน้ำหนักตัวเองไม่ควรที่จะปล่อยปะละเลย ต่อมาควรที่จะเลือกทานข้าวเป็นหลักสลับกับอาหารจำพวกแป้งแล้วก็ควรที่จะเลือกกินข้าวกล้องแทนข้าวขาว เพราะว่าข้าวกล้องจะได้สารอาหารหรือใยอาหารมากกว่าในตอนทานข้าวก็ควรทานผักให้เยอะๆ และต้องกินผลไม้เป็นปะจำเพราะจะทำให้สร้างภูมิคุ้มกัน และยังช่วยต้านทานโรคมะเร็งอีกด้วย ควรที่จะหลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ที่ไขมันสูงในบาง มื้อ ถ้าอยากทานเนื้อสัตว์ก็ควรที่จะทานปลาเพราะปลาเป็นสัตว์ที่ทีไขมันต่ำ และที่สำคัญควรจะเลี่ยงไม่กินอาหารที่มีรสจัดด้วย ถ้าหากอยากมีสุขภาพที่ดีก็ควรรับประทานอาหารตามที่กล่าวไว้นะครับ